เครื่องมือตรวจสอบและควบคุม ทางทีมงานผู้เชี่ยวชาญระดับสากลได้ตอบคำ ถามที่ลูกค้ามักจะถามเป็นประจำดังนี้ |
คำถามที่พบบ่อย |
|
1. WEEE และ RoHS คืออะไร?
WEEE ย่อมาจาก Waste Electrical and Electronic Equipment (ของเสียจากเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) ส่วน ROHS ย่อมาจาก Restriction of Certain Hazardous Substances (การควบคุมสารอันตราย) ระเบียบทั้งสองหน่วยงานนี้เป็นข้อกำหนดของยุโรปที่ต้องการที่จะให้ประเทศสมาชิกในยุโรปทั้งหมดได้ตระหนักถึงแนวทางเพื่อการพัฒนาปรับวิธีการเพื่อจัดการกับ WEEE กลับสู่ด้านบน 2. ทำไมพวกเราต้องมีระเบียบเหล่านี้และมีความจำเป็นจริงหรือ? การนำระเบียบเหล่านี้ไปใช้นั้นจะช่วยลดความเสี่ยงอันตรายที่ส่งผลต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม ด้วยการบำบัดของเสียอย่างเหมาะสม และการลดปริมาณสารที่เป็นอันตราย ทางทีมงานคาดหวังประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการอนุรักษ์ของวัสดุดิบ และทรัพยากรด้านพลังงาน สำหรับผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่ได้ผ่านการศึกษาวิเคราะห์นั้น เราพบว่าข้อกำหนดเหล่านี้จะช่วยลดมลภาวะทางอากาศ รวมไปถึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสารทำลายชั้นบรรยากาศ และสารพิษต่างๆในน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระเบียบของ WEEE จะช่วยในการเปลี่ยนปริมาณของเสียได้ถึง 133,000-339,000 ตัน จากการผังกลบ และระเบียบของ RoHS ได้ช่วยในเรื่องการรีไซเคิลในอนาคต เนื่องจากความต้องการในการดูแลจัดการสารอันตรายเป็นพิเศษมีน้อยลง จึงเป็นการช่วยลดต้นทุนที่ใช้ในการรีไซเคิลไปด้วย กลับสู่ด้านบน 3. หน่วยงานราชการใดที่มีส่วนในการบังคับใช้ระเบียบ RoHS? ในประเทศอังกฤษได้มีหน่วยงานที่ชื่อว่า Nation Weights and Measures Laboratory เป็นผู้ดูแลควบคุมอยู่ ซึ่งทางหน่วยงานนี้ได้มีการกำหนด:
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ กิจกรรม NWML ที่เว็บไซด์ - www.rohs.gov.uk. ถ้าท่านมีข้อสงสัยใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของ NWML หรือต้องการข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับคำจำความของ RoHS สามารถติดต่อได้ตามที่อยู่ด้านล่างนี้: e-mail - rohs@nwml.gov.uk General enquiry line - 020 8943 7227 Post to ส่งถึง RoHS Enforcement Team NWML Stanton Avenue Teddington Middlesex TW11 0JZ กลับสู่ด้านบน 4. ระเบียบของ RoHS จะถูกบังคับใช้ได้อย่างไร? ทางสมาชิกแต่ละประเทศของสหภาพยุโรปนั้นได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ขึ้นมาเรื่องการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ RoHS ซึ่งได้ดำเนินการด้วยวิธีการต่างๆ ดังนี้:
Back to top 5. บทลงโทษของการไม่ปฏิบัติตาม RoHS? ระเบียบของ RoHS ได้กล่าวไว้ว่า ประเทศสมาชิกควรจัดหาบทลงโทษที่เหมาะสมจากการละเมิดหรือไม่จัดหาชิ้นส่วนต่างๆภายในประเทศ เพื่อนำมาใช้ในการปรับผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามข้อกำหนด และการลงโทษนั้นควรจะถูกบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ, เหมาะสม และใช้เป็นแนวทางปฏิบัติได้ ตามกฎหมายของประเทศอังกฤษได้ระบุไว้ว่า : ข้อกำหนดของ RoHS ได้มีแนวทางการป้องกันการฝ่าฝืนดังต่อไปนี้: การละเมิดหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด โดยมีการใช้สารอันตรายอันเป็นสารต้องห้ามตามข้อกำหนดของ RoHS จะมีผลให้ผู้ที่ละเมิดนั้นจะถูกปรับเป็นเงินไม่เกินค่าปรับสูงสุดตามกฎหมาย (ซึ่งในปัจจุบันอยู่ที่ 5,000 ปอนด์) หรือปรับโดยไม่จำกัดจำนวนเงินตามการละเมิด หรือการฟ้องร้องคดี ผู้ที่ไม่ส่งเอกสารประกอบการชี้แจงเรื่องการปฏิบัติตามข้อกำหนดเมื่อเจ้าหน้าที่ร้องขอ จะถูกปรับสูงสุดถึงขั้นที่ 5 ตามมาตรฐาน ข้อป้องกันสำหรับผู้ที่ได้พยายามในการที่จะปฏิบัติตามระเบียบนั้น หากบุคคลใดบุคคลหนึ่งสามารถชี้แจงได้ว่า ปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆ อย่างเหมาะสมแล้ว และได้พยายามดำเนินการต่างๆ แล้วจะไม่จัดเป็นผู้ละเมิด โดยการโต้แย้งนี้ต้องมีหนังสืออ้างอิงที่จัดทำโดยบุคคลที่สาม หรือเป็นข้อมูลใดๆ ของบุคคลดังกล่าว กฎเกณฑ์ต่างๆมีไว้เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องตระหนักถึงความรับผิดชอบ มากกว่าทำขึ้นเพื่อต้องการลงโทษ และอนุญาตให้หน่วยงานภายนอกเข้ามาเพื่อดำเนินคดีจากการละเมิดข้อกำหนด เมื่อพบว่ามีการละเมิดข้อบังคับโดยบุคคลหรือองค์กรที่มีส่วนร่วมในการทำงาน จากการยอมรับผิด การมีส่วนรู้เห็น หรือตลอดจนการเพิกเฉยต่อเจ้าหน้าที่, ผู้จัดการ หรือพนักงาน ผู้นั้นจะถูกพิจารณาว่าเป็นผู้ละเมิดเช่นเดียวกับองค์กรดังกล่าวด้วย N.B. บทลงโทษสูงสุดคือการที่จะสูญเสียชื่อเสียง และส่วนแบ่งทางการตลาดเนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ตรงตามข้อกำหนด และจะถูกดำเนินการประกาศ และลงเป็นข่าวสารแจ้งทั่วกัน กลับสู่ด้านบน 6.ระเบียบของ WEEE และ RoHS เป็นเพียงระเบียบแบบ 'Single Market' หรือไม่? ‘Single Market’ Directives เป็นระเบียบของสหภาพยุโรปที่เฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษ ที่ได้มีการนำไปใช้บังคับในประเทศสมาชิกทั้งหมด และมีการนำไปปฏิบัติตามในแนวทางเดียวกัน เพื่อป้องกันความแตกต่างในการตีความภายในสหภาพได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากในการกำหนดมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ ซึ่งนั่นหมายความว่าผู้ผลิตจะไม่ผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างกันภายในแต่ละประเทศสมาชิก จากระเบียบของ WEEE ไม่ใช่เป็นระเบียบแบบ Single Market ระเบียบนี้จะเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่ประเทศสมาชิกต้องปฏิบัติตาม ส่วนระเบียบของ RoHS เป็นระเบียบแบบ Single Market เนื่องจากมีการจัดตั้งมาตรฐานของผลิตภัณฑ์นั้นๆ กลับสู่ด้านบน 7. มีเพียงสองหน่วยงานนี้เท่านั้นหรือที่เกี่ยวข้อง? ใช่เกี่ยวข้องกัน ระเบียบของ WEEE มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มระดับของการรีไซเคิล ของเสีย WEEE และส่งเสริมผลิตภัณฑ์ให้ออกแบบให้สามารถแยกส่วน และรีไซด์เคิลได้ งานส่วนหลักนี้เป็นการทำให้ผู้ผลิต และผู้นำเข้า หรือผู้ผลิต เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีส่วนรับผิดชอบต่อต้นทุนในการจัดเก็บ, การบำบัด หรือการนำทรัพยากรกลับคืนของเสีย WEEE ถ้าเมื่อใดๆ ที่มีการออกแบบผลิตภัณฑ์ใดๆ ควรจะมีการคำนึงถึงการลดต้นทุนในการจัดการของเสียด้วย ในส่วนระเบียบของ RoHS นั้นเหมาะสมในการลดปริมาณของสารอันตรายที่ใช้ในการผลิตภัณฑ์ เพื่อหาแนวทางปฎิบัติที่เหมาะสม และเพื่อให้มีการลดต้นทุนในการรีไซด์เคิล กลับสู่ด้านบน 8. อุปกรณ์ชนิดใดบ้างที่อยู่ภายใต้ระเบียบเหล่านี้? ระเบียบของ WEEE ได้ครอบคลุมรายการของประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ ซึ่งแสดงใน Annex 1A ของระเบียบ โดยมี 10 ประเภทด้วยกันที่จัดเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านขนาดใหญ่ไปจนถึงเครื่องใช้แบบอัตโนมัติ ใน Annex 1B ของข้อกำหนด เป็นรายการตัวอย่างผลิตภัณฑ์ในแต่ละประเภทนั้นๆ อย่างไรก็ตามรายการเหล่านี้เป็นเพียงรายการตัวอย่างเท่านั้น และแสดงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทางระเบียบ RoHS ได้ประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ที่เหมือนกันในรายการ Annex ทั้งสองตามระเบียบของ WEEE เป็นสิ่งทีแยกออกไปตามประเภท 8 และ 9 (อุปกรณ์ทางด้านการแพทย์ และเครื่องมือตรวจสอบและควบคุม) กลับสู่ด้านบน 9. ใครคือผู้ผลิต? ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่บริษัทซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ด้วย ผู้ผลิตจะหมายถึงผู้ค้าปลีกที่มีผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมายการค้าเป็นของตนเอง และบริษัทที่จำหน่ายสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเอง กลับสู่ด้านบน 10. คำจำกัดความของ ‘Producer’ ภายใต้ระเบียบของ RoHS คืออะไร? ระเบียบ RoHS ได้กำหนดให้ผู้ผลิตต้องรับผิตชอบต่อข้อบังคับ และจำกัดความหมายของผู้ผลิตไว้ดังนี้: ผู้ผลิตหมายถึงบุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าจะใช้เทคนิคการขายอย่างไรก็ตาม (รวมถึงการใช้วิธีการสื่อสารทางไกล ตามระเบียบ Directive 97/7/EC) :
กลับสู่ด้านบน 11. ความหมายของความรับผิดชอบของผู้ผลิตคืออะไร? ความรับผิดชอบของผู้ผลิตนั้น หมายถึง การกระทำให้ผู้ผลิตของผลิตภัณฑ์นั้นเป็นผู้รับผิดชอบต่อของเสียที่เกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ในขณะนี้ในบางประเทศในสหภาพยุโรปนั้น ได้ให้บริษัทหรือบุคคลที่ทำให้เกิดของเสียดังกล่าว เป็นผู้รับผิดชอบต่อต้นทุนในการกำจัดหรือการรีไชเคิลของเสียนั้น ในขณะที่ภาครัฐดูแลค่าใช้จ่ายสาธารณะทั่วไปในการจัดการของเสีย จากค่าภาษีภายในรัฐนั้นๆ และค่าใช้จ่ายส่วนภาคธุรกิจอื่นๆ เพื่อการดำเนินการเก็บของเสีย แต่ในอนาคตผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตเอง กลับสู่ด้านบน 12. ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ของข้าพเจ้ายังไม่ได้อยู่ภายใต้ระเบียบ RoHS ในอนาคตผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะผ่านการรับรองหรือไม่ ? ขอบเขตข้อกำหนดของ RoHS ในปัจจุบันบังคับใช้กับ 8 ประเภท ตามหมวดต่างๆ ของ WEEE โดยไม่รวมถึงเครื่องมือทางการแพทย์ และเครื่องมือตรวจและควบคุม ผลิตภัณฑ์ที่อยู่นอกข้อกำหนดนี้จะนำมาพิจารณา และอาจจะมีการเพิ่มและจัดหมวดหมู่เพิ่มขึ้นในอนาคต ส่วนระเบียบ RoHS ได้ระบุข้อยกเว้นไว้ว่าต้องมีการทบทวนรายการต่างๆ อีกครั้งอย่างน้อยทุกๆ 4 ปี หรือเป็นเวลา 4 ปี หลังจากที่ได้ถูกจัดเข้าในหมวดนั้นแล้ว ดังนั้นข้อยกเว้นในปัจจุบันจะถูกพิจารณาอีกครั้งก่อนปี ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553) กลับสู่ด้านบน 13. เมื่อใดที่ผลิตภัณฑ์ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของ RoHS? RoHS ได้กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ ที่วางจำหน่ายตั้งแต่ กรกฎาคม พ.ศ. 2549 จะต้องทำตามระเบียบนี้ ถ้าเกิดข้อสงสัยว่าการวางจำหน่าย (Put on the Market) นั้นมีคำจำกัดความว่าอย่างไร ตามความเข้าใจในส่วนนี้ จากหลักการของ RoHS อาจหมายถึง:
N.B. “Putting on the market” นั้นไม่จำเป็นว่าต้องมีธุรกรรมทางการเงินเกิดขึ้น ถ้าผลิตภัณฑ์นั้นได้ถูกส่งผ่านไปยังขั้นตอนของการจัดจำหน่ายแล้วนั้น ก็ถือว่าเป็นสินค้าที่อยู่ในตลาดแล้ว โดยที่ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการบริจาคหรือได้มาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ก็ถือเป็นสินค้าที่อยู่ในตลาดเช่นกัน กลับสู่ด้านบน 14. RoHS มีผลบังคับใช้กับอุปกรณ์สำหรับทำต้นแบบและเครื่องมือที่ผลิตไว้เพื่อใช้งานเองเป็นการส่วนตัวหรือไม่? ระเบียบของ RoHS จะบังคับใช้กับผลิตภัณฑ์ในหมวดเฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษเท่านั้น นั่นก็คือผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในตลาด ตั้งแต่วันที่ 1 กรฎาคม พ.ศ. 2549 เป็นต้นไป การออกแบบชิ้นส่วนทดลอง, ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้เองเป็นการส่วนตัวจะจัดให้อยู่ในข้อยกเว้นด้วย เนื่องจากว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในตลาด กลับสู่ด้านบน 15. ถ้าผลิตภัณฑ์ของข้าพเจ้านั้นมีชชิ้นส่วนต่างๆที่มาประกอบกันจำนวนมาก แล้วชิ้นส่วนเหล่านี้จะต้องอยู่ในระเบียบของ RoHS หรือไม่? ระเบียบ RoHS จะไม่มีผลบังคับต่อสินค้าสิ้นเปลือง (ได้แก่ ตลับหมึก, ดอกสว่าน) คู่มือ และการบรรจุภัณฑ์ อย่างไรก็ดีในส่วนของชิ้นส่วนประกอบ (ได้แก่ สายไฟฟ้า, เครื่องชาร์จแบตเตอรี่, กล่องอุปกรณ์ เป็นต้น) ที่ใช้เป็นส่วนประกอบต่างๆของผลิตภัณฑ์ ซึ่งอยู่ภายใน 8 หมวด ที่ได้ระบุไว้ตามระเบียบของ RoHS จะถือว่าเป็นชิ้นส่วนของผลิตภัณฑ์ ที่จะต้องถูกบังคับใช้เช่นกัน กลับสู่ด้านบน 16. เรามักจะคุ้นเคยกับระเบียบของ WEEE มากกว่าระเบียบของ RoHS เพราะอะไร? ระเบียบของ RoHS มีความชัดเจนในด้านเชิงกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามเชิงพาณิชย์ก็ยังคงมีความสำคัญมากกว่า ระเบียบนี้บังคับให้ผู้ผลิตต้องมั่นใจว่า ผลิตภัณฑ์ที่วางในตลาดตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 เป็นต้นไปนั้น จะต้องไม่มีส่วนประกอบของตะกั่ว, ปรอท, โครเมียม hexavalent, brominated flame retardant (polybrominated biphenyls และ polybrominated diphenyl ethers) กลับสู่ด้านบน 17. การวางขายในตลาดหมายถึงอะไร? ตามระเบียบ RoHS ได้ห้ามการใช้สารบางชนิดที่อยู่ในเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ได้จำหน่ายในตลาดยุโรป ถ้าผลิตภัณฑ์นี้มีส่วนประกอบของสารต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น จะถูกจัดให้เป็นสินค้าที่ผิดกฏหมาย ห้ามจำหน่ายในยูโรป ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 กลับสู่ด้านบน 18. มีข้อยกเว้นสำหรับผลิตภัณฑ์ใดๆหรือไม่? ตามภาคผนวกของระเบียบ RoHS ได้แสดงรายการที่ได้รับการยกเว้น แม้ว่ายังคงมีการใช้สารต้องห้ามในผลิตภัณฑ์นั้นอยู่ รายการที่ได้รับการยกเว้นนี้สามารถนำขึ้นไปทบทวนในระดับประเทศยุโรปได้ ส่วนข้อยกเว้นเพิ่มเติมนั้นก็สามารถนำขึ้นเสนอได้ ในกรณีเมื่อ การกำจัด หรือการทดแทน กับสารอื่นๆ ซึ่งโดยด้านเทคนิค หรือทางด้านวิทยาศาสตร์ แล้วไม่สามารถทำได้ในเชิงปฏิบัติ หรือจะทำให้เกิดผลกระทบด้านลบอื่นๆ ขึ้นตามมา แต่อย่างไรก็ตามการพิจารณานี้จะต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ และข้อยกเว้นเพิ่มเติมใดๆ นั้นจะต้องมีมูลฐานเพียงพอ และเหมาะสม ที่จำเป็นต้องมีการตกลงในระดับประเทศยุโรป กลับสู่ด้านบน 19. หากมีปริมาณสารต้องห้ามอยู่ในวัสดุที่ใช้อยู่แล้วโดยธรรมชาติ จะจัดการอย่างไร? ทาง RoHS เองทราบดีว่าสารต้องห้ามบางชนิดที่มีอยู่ตามธรรมชาติอาจจะพบในเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือชิ้นส่วนนั้น ในปริมาณต่ำ คณะกรรมการในระดับประเทศยุโรปจึงได้กำหนดระดับความเข้มข้นของสารต้องห้ามเหล่านี้ โดยจะอนุญาตให้มีปริมาณสารนั้นน้อยที่สุดที่ยอมรับได้ในผลิตภัณฑ์นั้นๆ กลับสู่ด้านบน 20. ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารต้องห้ามสามารถวางจำหน่ายในประเทศอื่นที่ไม่ใช่ในยุโรปได้หรือไม่? เนื่องจากระเบียบของ RoHS นั้นเป็นระเบียบของยุโรป ระเบียบนี้จึงจะถูกนำไปใช้สำหรับประเทศสมาชิกทั้งหมด ดังนั้นระเบียบนี้จะไม่ได้บังคับใช้ในประเทศที่ไม่ได้รวมอยู่ในสหภาพยุโรป แต่อย่างไรก็ตามประเทศเหล่านี้ก็อาจจะนำเอาระเบียบนี้ไปเป็นระเบียบภายในประเทศของตนเองก็ได้ กลับสู่ด้านบน 21. ระเบียบของ RoHS ส่งผลให้ต้นทุนของชิ้นส่วนประกอบสูงขึ้นหรือไม่? การที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ตรงตามระเบียบนี้ (เช่นการปรับเปลี่ยนเอกสาร, การจัดการคลังสินค้า เป็นต้น) ผู้ผลิตจะต้องมีภาระต้นทุนจำนวนหนึ่งที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งในตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์นั้นเองก็มีการแข่งขันสูงมาก และผู้ผลิตจำนวนมากไม่ต้องการที่จะขึ้นราคาสินค้าของตนเอง และไม่ต้องเพิ่มความเสี่ยงในการสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับคู่แข่ง ผู้ผลิตบางรายได้มีการแจ้งว่าราคาสินค้าที่จะสูงขึ้น แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำกันทุกราย และระดับของการขึ้นราคาก็ต่างกันไปด้วย กลับสู่ด้านบน 22. พนักงานของข้าพเจ้าจำเป็นต้องได้รับการอบรมอะไรบ้าง เพื่อเตรียมพร้อมและจัดการกับช่วงของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ RoHS? การปฎิบัติตามระเบียบของ RoHS นี้มีผลในวงกว้าง ที่จะส่งผลต่อทุกส่วนในองค์กรนั้นๆ ตั้งแต่ฝ่ายจัดซื้อไปจนถึงฝ่ายบริหารคลังสินค้า, ฝ่ายผลิต และการบริการ ซึ่งการที่จะตอบคำถามนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย มีส่วนที่สำคัญหลักในการที่จะต้องอบรมในครั้งนี้ คือ:
กลับสู่ด้านบน 23. มีชิ้นส่วนประกอบที่ถูกผลกระทบหรือไม่ถูกใช้เพิ่มมากขึ้นหรือไม่ เนื่องมาจากการบังคับใช้ระเบียบของ RoHS? โดยทั่วไป ผลิตภัณฑ์ที่ตกรุ่นจะมีปริมาณมากขึ้น อันเนื่องมาจากผู้ผลิตเลิกผลิตอุปกรณ์ชิ้นส่วนที่ไม่ตรงตามข้อกำหนด และผลิตชิ้นส่วนอื่นมาใช้แทน ถ้ายังมีความต้องการใช้ชิ้นส่วนรุ่นเก่าอยู่อาจทำได้ดังนี้:
กลับสู่ด้านบน |